
.
.
คลิกอ่าน รีวิว "Aletsch Glacier, Bettmeralp-จ.บ.พ.จึงบอกเพื่อน" ได้ที่ลิงค์ https://goo.gl/D8nWw1 นี้ครับ
.
.[SIZE=130]เกร็ดเล็ก..เกร็ดน้อย--Here, there and Everywhere
.
5 สิงหาคม 2558
.
สวัสดีครับ
.
แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่กระตุ้นให้เราสนุกกับการท่องเที่ยวต่างถิ่นต่างแดน ก็คือ การได้เรียนรู้ วิถีชีวิต คุณลักษณะ ทัศนคติ มุมมอง ของผู้คนที่เราได้มีโอกาสพูดคุยด้วย ซึ่งหลายต่อครั้ง ทำให้เราเข้าใจทรรศนะที่แตกต่างอันมาจากภูมิหลังและสภาพแวดล้อมที่แปลกแยกออกไปมากขึ้น และได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างที่จะไม่มีโอกาสได้ตระหนักเลยหากสัมผัสเพียงเปลือกนอกอย่างผิวเผิน
.
นั่นคือ เหตุผลที่เราชอบไปแบบช้าๆ ทักทาย สนทนาพาทีกับผู้คน โดยเฉพาะคนท้องถิ่น ซึ่งไม่เคยมีสักครั้งเลยครับที่รู้สึกว่า เสียเวลาเปล่า..... เพราะลึกๆ คนเราก็ชอบบอกเล่าเรื่องราวและความคิดของตนเองอยู่แล้ว เพียงแค่เราให้เกียรติ (ทำให้เค้าไว้วางใจ) รับฟัง (แสดงความใส่ใจ) สารพัดสตอรี่ก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งถ้าเราใช้คำพูดแบบ ปลายเปิด (จริงหรือ? อย่างนั้นเชียว? แล้วไง? What-Where-Why-Who-How...) หนุนส่ง คราวนี้ละก็ ไหลบ่ายิ่งกว่าทำนบเขื่อนพัง รับมือไม่ไหวเอาเลยทีเดียวครับ
.
อย่างไรก็ตาม ยุโรปจะต่างจากเอเซีย ที่ไม่ค่อยหวือหวา และผู้คนค่อนข้างเก็บตัว ถ้าเราไม่ตั้งใจจับสังเกต หรือเป็นฝ่ายรุกให้หนักหน่อย โอกาสที่จะพูดจาจนได้เนื้อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย (ยกเว้น ผู้อาวุโส ที่หาคนคุยด้วยยาก) ต่างจากคนเอเซีย (โดยเฉพาะจีน ที่นิยมเป็นฝ่ายพูดมากกว่าฟัง เพียงแสดงทีท่าพร้อมจะรับฟัง ก็ล้างหูรอได้เลย..... ส่วนอินตระเดีย ต้องอย่าลืมถือดิสก์เบรคติดมือไปด้วย ไม่งั้นหูชา เพราะถาม 1 ตอบ 5 ไม่พอยังมีคนแวะมาแจมเม้าธ์มอยเป็นคณะอีกต่างหาก 555) ที่มีอะไรต่อมิอะไรเรื่องเล่าที่แปลกใหม่น่าสนใจให้นำมาเล่าต่อได้อย่างสนุกคีย์คนเขียนอ่ะครับ
.
อัลบั้มนี้ จะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เก็บตกมาจาก ทริป เนเธอร์แลนด์-เบลเยี่ยม-สวิตเซอร์แลนด์ มาเล่าให้เพื่อนๆฟัง อย่างน้อยก็เป็นการสลับฉากกับการเที่ยว เที่ยว เที่ยว รูป รูป รูป บ้างนะครับ
.[/SIZE]
.[COLOR=#0a0091][SIZE=130]เหรียญอีกด้านของสวิตเซอร์แลนด์.
เพียงแค่เห็น ค่าครองชีพ ของสวีสฯ ไม่ว่าใครก็คงอดอิจฉามารศรคนสวีสฯไม่ได้ว่า "ช่างมีชีวิตที่สุขสบายเหนือชนชาติอื่นๆจริงจริ๊ง อยากเกิดใหม่เป็นคนสวีสฯจัง"... เพราะแม้ในวันสุดท้ายที่สนามบินซูริค ที่เราได้เพื่อนใหม่เป็นครูโรงเรียนประถมฯ 2 คนที่กำลังจะต่อเครื่องไป มัลดีฟ และผมแซวว่า "ผมเห็นคนอื่นเค้าเล่นน้ำใน เลค หรือ น้ำพุ ดับร้อนกัน แต่คุณเล่นหนีร้อนไปมัลดีฟเลย..." เธอตอบว่า "แต่ไปมัลดีฟ ไม่ได้ทำให้เราใช้จ่ายมากขึ้นเลยนะ" ผมบอก "จริงสิ ที่นี่ทุกอย่างแพงมากกกก" แล้วเธอทั้งคู่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "แต่รายได้เราก็สูงด้วยนะ"
.
ใช่ครับ ใครยิ้มรับค่าครองชีพระดับนี้ได้ รายได้ต้องไม่เบาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่....
.
เพื่อนๆได้โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า คนสวีสฯจะมีความสุขมากกว่า หรือ ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจเหมือนคนชาติอื่นเอาเสียเลย นะครับ เพราะ...
.
เช้าวันที่ 22 ใน Basel ...อันเป็นวันสุดท้ายของทริปก่อนกลับในวันต่อมา เรานั่งรถรางสาย 3 จาก Youth Hostel มายังป้าย Aeschenplatz ซึ่งเป็นชุมทางรถรางเพื่อเปลี่ยนต่อสาย 10 หรือ 11 ไป Bahnhof -สถานีรถไฟ....ผมถือโอกาสชวนคุณนายเก็บภาพรอบๆบริเวณนั้น ซึ่งผ่านตาทุกวันๆละหลายรอบแต่ไม่มีโอกาสท่องเป็นเรื่องเป็นราวซักที...
.
เป้าหมายหลักก็ หุ่นยักษ์ที่ขยับมือตอกอะไรขึ้นลงไปมา ตรงหน้าธนาคาร UBS นี่แหละครับ..
.
ขณะคุณนายโพสท่าต่างๆแล้วผมกดแช๊ะไปมานั้น คุณป้าคนนึงซึ่งจับตาเราตลอดก็หันมาเปรยเป็นการอารัมภบทว่า "คุณรู้ไหมว่า เจ้าหุ่นนี้ ชื่อ Hammering Man พวกเราเรียกกันว่าเป็น the hardest-working of all of Basel's inhabitants-คนงานที่ขยันที่สุดในหมู่ชาวบาเซิลทั้งมวล เชียว เพราะเค้าจะตอกอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติไม่มีวันหยุดเลย...."
.
แค่เรา.... อ๋อ ครับ.... อย่างนั้นเหรอครับ... ไปหน่อย คุณป้าก็ระบายความในใจออกมาไม่ขาดสายว่า..
.
"แต่คนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้เรื่องเหมือนคนสมัยก่อนหรอกคู้ณณณ...
คุณเห็นไหมว่า เดี๋ยวนี้มีพวกต่างชาติเกลื่อนไปหมด
ประชากร 8 ล้านน่ะ เป็นคนสวีสฯจริงๆแค่ 5 ล้านเท่านั้นเอง ที่เหลือมาจากสารพัดที่ เยอะที่สุดก็ Refugees-พวกอพยพ นี่แหละ....
พวกนี้เสวยสุขกับสิ่งที่บรรพบุรุษเราเหลือทิ้งไว้ให้อย่างสบายเฉิบ...ได้สวัสดิการสารพัดอย่าง......
คนอพยพประสาอะไรกัน ใช้ไอโฟน แต่งตัวโก้หรู กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ขนครอบครัวเข้ามาได้อย่างเสรี เงินทองจะหาก็ได้ไม่หาก็ได้ แบมือรับสวัสดิการได้ตลอด....
แล้วพวกที่มีอำนาจน่ะ คุณรู้ไหมว่า ทุกอย่างมาจาก คน 7 คนเท่านั้น ใช้เงินงบประมาณจากภาษีพวกเราเป็นเบี้ย ตอนนี้กำลังจะขอให้มีวันพักร้อนเพิ่มจาก 4 สัปดาห์เป็น 6 สัปดาห์.... บ้ากันใหญ่แล้ว..."
.
จริงทีเดียวครับ เรื่องแปลกตาที่เห็นบ่อยในยุโรปก็คือ คนต่างชาติไม่ได้รู้สึกหรือทำตัวด้อยเหมือนพลเมืองชั้นสองอย่างที่เราเข้าใจเลยครับ คนขาวโดยเฉพาะวัยกลางคนขึ้นไปพูดคุยกับคนผิวสีด้วยทีท่าที่อ่อนน้อมกว่าด้วยซ้ำ (ซึ่งผมเดาเอาว่า น่าจะเกิดจากการ กลัวมีเรื่อง ประสาฝาหรั่งที่ขวัญอ่อนเป็นปรกติอยู่แล้ว) ....แม่บ้านผิวสีที่เข็นเปลเด็กจะขึ้นรถ คนขับถึงขนาดลงมาดึงแผ่นรองให้เข็นขึ้นรถง่ายๆด้วยซ้ำ...ส่วนคนผิวสีทั่วไปก็นั่งเชิดเหมือนฝาหรั่งอื่นๆ ใช้สิทธิเท่าเทียมอย่างเต็มพิกัด ไม่ได้รู้สึกสำรวมหรือค่อยระแวดระวังสายตาคนอื่นเหมือนอย่างที่เราคิดหรือเคยพบเห็นในเอเซียเลยครับ...
.
ใช่ครับ พวกฝาหรั่งยอมรับในความเสมอภาคและสิทธิเท่าเทียมกันก็จริง แต่ลึกๆก็คงอดกล้ำกลืนไม่ได้ว่า "เอ๊ะ นี่บ้านเราแท้ๆนะ พวกนี้มาขออาศัยเราไม่ใช่หรือ ทำไมถึง...ทำไมต้อง..ฯลฯ" และทันทีที่มีโอกาส ก็จึงกระจายความในใจให้คนอื่นฟัง อย่างน้อยก็เป็นการประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ถึง "ความทุกข์" ที่ค้างคาใจไปได้บ้างไม่มากก็น้อย...
.
พูดถึง "ความทุกข์" ...อย่าได้คิดนะครับว่า คนที่นี่จะมีความสุขกับการอยู่ดี (สภาพแวดล้อมงดงาม) กินดี (ของแพง) ทุกคนไป..... เพราะบริเวณสะพานสูงหน้าโบสถ์ เซนต์ฟรังค์ ที่โลซานน์ ถึงขนาดต้องทำรั้วสูงบนราวสะพานทั้งสองด้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนกระโดลงไปฆ่าตัวตาย ดังที่เฮีย Rick Steves เขียนบอกไว้ในหนังสือคู่มือว่า "สวีสฯเป็นประเทศที่มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันตกทีเดียว และส่วนใหญ่เป็นหญิง..กระทั่ง ช่วงปลายปีใกล้ๆคริสต์มาสปีใหม่ ทางการต้องจัดนักสังคมสงเคราะห์มาตั้งซุ้ม พร้อมซุป ชา กาแฟ ที่บริเวณนี้ เพื่อตรวจตา คอยให้คำปรึกษา ปลอบโยน คนที่คิดสั้นเป็นกรณีพิเศษประมาณนั้น"
.
สำนวน "The grass is always greener on the other side-ทุ่งหญ้าที่เห็นแต่ไกลมักดูเขียวชะอุ่มกว่าของเราเสมอ" คือสัจธรรมที่ตรงเผลงจริงๆ.... ที่คนเราเห็นอะไรเผินๆแล้วก็มักจะเข้าใจเอาเองว่า "คนอื่นมีความสุขกว่าเรา" ทั้งๆที่หากเข้าใกล้อีกนิด เพ่งพินิจอีกหน่อย ก็จะตกผลึกว่า "ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก สุขทุกข์ย่อมมีคละเคล้ากันไป สำคัญคือ เราจะต้องตระหนักในคุณค่าของตัวเอง รู้จักปลื้มปีติกับความสุขที่ผ่านมาและฟันฝ่าอดกลั้นยามความทุกข์มาเยือน เพราะสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง มีได้ก็หมดได้ หมดได้ก็มีใหม่ได้..."
.
สาธุ..
.
ขอโทษด้วยครับ กะลังเขียนดีๆ เพื่อนบ้านเล่นเปิดบทสวดมนต์มาอภินันทนาการดังลั่นทั้งซอยเลย ธรรมะก็เลยกระเซ็นกระสายมาใส่อย่างหลบไม่พ้นครับ...อิอิ
.[/SIZE][/COLOR]

.
[SIZE=130]รายได้เป็นแสนๆยังบ่นว่าลำบาก-Is Life Really Tough in Switzerland
.
เราเดินทางมาที่ Bern ในเที่ยงวันที่ 12 กรกฏาคม หลังจากแวะพูดคุยสอบถาม เจ้าหน้าที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ที่เยี่ยมยอดที่สุดในสวีสฯ เพราะสามารถให้ข้อมูลทุกอย่างทุกสถานที่ในประเทศนี้ด้วยอัธยาศัยอันประทับใจยิ่ง) ทันทีที่เดินออกจากตัวสถานีรถไฟ เราก็ถูกทักทายจากหนุ่มภารตะ สารถีรถสามล้อท่องเที่ยวคนนี้ทันที...
.
สามล้อถีบท่องเที่ยวอย่างนี้ เราเห็นครั้งแรกวันแรกที่ถึงปารีสตรงแถวๆ Grand Palais ...เมื่อมีหนุ่มฝาหรั่งนักศึกษาหน้าตาดีเชิญชวนว่า "ครึ่งชั่วโมงแค่ 40 ยูโรเท่านั้นเอง"....
.
ด้วยความที่อยากจะช่วยเหลือ ผมจึงชวนคุณนายว่า "ไปกันหน่อยนะ เป็นนิสิตที่มาทำงานหารายได้พิเศษอ่ะ แค่ร้อยกว่าสองร้อย..."
.
ใช่ครับ ความปราดเปรื่องในเรื่อง "คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน" ทำให้ผมคูณในใจว่า ยูโรละ 45 (ตอนนั้น) คูณ 40 ก็เท่ากับ 180 บาทโดยประมาณ...จะเป็นไรไป อยู่บ้านเราก็เคยให้ศิลปินข้างถนน คนพิการ ทีละร้อยออกบ่อย
.
บุญแท้ๆ ที่คุณนายกระชากสติกลับคืนมา ค่อยได้คิดว่า "เฮ้ย...1800 นะไม่ใช่ 180.." โห..อะไรกันเนี่ย ครึ่งชั่วโมงตั้งเกือบ 2 พัน แล้ววันๆจะได้เท่าไหร่ มีใครบ้าพอที่จะเสียเงินกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้บ้างหรือ?
.
คำตอบ คือ มีครับ มีแยะด้วย ไม่งั้น เราคงไม่เห็นสามล้ออย่างนี้เกลื่อนไปหมดทุกประเทศในยุโรป...ว่าไป ถ้ามีเงินทองเหลือเฟือก็น่าลองอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะสารถีจำนวนหนึ่งเป็นสาวสวยหุ่นดี สวมเกาะอก กางเกงสั้นจู๋เสียด้วยซี...ฮิฮิ
.
ผมออกตัวก่อนว่า "ขอบคุณมาก นี่เรากำลังจะนั่งรถบัสเที่ยว เราเป็นอาจารย์ มีงบไม่มาก คงไม่ได้ใช้บริการคุณหรอกนะ...ว่าแต่คุณมาจากเมืองไหนของอินเดียหรือ เราเที่ยวอินเดียบ่อย ทำไมขยันจัง?"
.
โซฮัน มาจากมุมไบ อยู่ที่นี่ได้ 10 กว่าปีแล้ว (ความที่ออกกำลังเป็นประจำ ทำให้ดูไม่ออกเลยว่าเค้าปาเข้าเลข 4 กว่าๆแล้ว) ส่วนครอบครัว (ภรรยาและลูก 2 คน) เพิ่งตามมาอยู่ได้ 6-7 ปี...
.
ขึ้นชื่อว่า "แขก" แล้ว เรื่องเจรจาค้าขายไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว (นึกถึงชื่อร้าน "ปากหวานใจเย็น" "นายเล็กใจดี" ที่พาหุรัติขึ้นมากเลย) ตอบคำถามผมแป๊บ ก็ยูเทิร์นสานเรื่องต่อทันทีว่า "ไปเที่ยวกันไหมครับ หรือคุณต้องการข้อมูลอะไร จะไปไหนอย่างไร ผมยินดีแนะนำให้ครับ"
.
ผมบอกว่า "กำลังจะไป Rose Garden เพื่อชมวิวเมืองในมุมสูงอย่างที่เห็นในหน้าปกโบรชัวร์นี้" ...โซฮันกางแผนที่ออกมาทันที พร้อมกับอธิบายว่า ที่ตั้งอยู่ไหน จะไปด้วยรถบัสสายไหน บลา บลา อย่างละเอียด แล้วก็ตบท้ายว่า "ใช้รถบัสเสียเวลามากนะครับ ให้ผมพาคุณไปเที่ยวทุกจุดที่สำคัญของเมืองนี้ดีกว่ามั้ย 2 ชั่วโมงจบ คิดคุณพิเศษ 120 แล้วกัน"
.
หา.....120 คูณ 36.10 ...เกือบ 4,500 บาทไทย..บ้าปล่าว...อยากตะโกนอย่างนั้น แต่ก็ข่มใจถามต่อไปว่า "ขนาดนั้นเชียวหรือ...แล้วถ้าไม่พิเศษ ปรกติคุณคิดนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ล่ะ" โซฮันตอบว่า "เฉลี่ยก็ประมาณชั่วโมงละร้อย... แต่ส่วนใหญ่เหมากันชั่วโมงกว่าประมาณ 150 ขึ้นไป"
.
"แล้ววันๆได้ซักกี่มะน้อยล่ะ?" โซฮันทำหน้าเบื่อ เซ็ง "ปีนี้ไม่ค่อยดีครับ ลำบากนิดหน่อย ปรกติจะได้วันละ 6-7 ราย แต่เมื่อวานได้แค่ 4 รายเท่านั้น.."
.
ไอ๊หยา...4 ราย ตีซะว่ารายละ 100 ก็ 400 หรือ 6-7,000 บาท เข้าไปแล้ว (ตลอดครึ่งวันนั้น เราเห็นโซฮันหลายรอบตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และเห็นลูกค้าเค้าจ่ายกันร้อยกว่าฟรังค์จริงๆ) เดือนนึงเหนาะๆก็ 2-3 แสน...ผมมองหน้าคุณนาย คุณนายมองหน้าผม ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าคิดตรงกัน คือ "มาขี่สามล้อหากินที่นี่ดีกว่าเนอะ"
.
โซฮันอธิบายเหมือนรู้ใจ "แต่เหลือใช้ไม่กี่ตังหรอกคุณ เพราะภาษีหนักมาก ทั้งภาษีเงินได้และภาษีรถบริการนี้ เลี่ยงไม่ได้เลยแม้แต่เซ็นต์เดียว ไม่เหมือนที่อินเดียนะคุณ... แต่เราทำเพื่ออนาคตอ่ะครับ ทำเพื่อสวัสดิการตอนเกษียณและเพื่อครอบครัว....ค่อยยังชั่วที่ลูกเราเรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี..บลา บลา บลา.."
.
ผมตบบ่าเค้า ยกนิ้วให้ แล้วก็บอกว่า "ผมไม่แน่ใจนะว่า ผมออกเสียงถูกหรือเปล่า แต่..จิเต๋ละโฮ่..."
.
โซฮัน ค้อมตัวยกมือ นมัสเต เราด้วยความเคารพและซาบซึ้งใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วเราก็ลาจากกัน ก่อนที่จะได้เจอกันอีกหลายรอบต่อมาในวันนั้นด้วยมิตรภาพที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ
.
อ๋อ...ไม่ลืมหรอกครับ..."จิเต๋ละโฮ่" เป็นคำให้พรที่ผมเรียนรู้มาจากคนอินเดียที่นั่น มีความหมายเสมือน "พระเจ้าคุ้มครอง" แต่น่าจะมีความลึกซึ้งกินใจมากกว่านั้นซึ่งอธิบายไม่ถูกครับ... เพราะคุณนายเคยบอกเด็กหนุ่ม 4-5 คนที่ช่วยบอกทางตอนขึ้นเขาที่เมือง ปุชการ์ ปรากฏว่า ทั้ง 4-5 คนนั้นก้มลง เอานิ้วแตะเท้าคุณนายมาเจิมหน้าผากตัวเองทุกคนเลยครับ....
.
สรุป...ยังนึกไม่ออกจนป่านนี้ว่า นอกจากต้องออกแรงขี่ (สบายกว่าสามล้อในเมืองแขกหลายสิบเท่า) โซฮัน จะลำบากตรงไหนกัน? ยิ่งได้รับฟังคุณป้าข้างบนเรื่องคนต่างชาติยึดครองเมืองไปเกือบครึ่งแล้ว ยิ่งทำให้มั่นใจเพิ่มขึ้นไปอีกว่า....เราคงไม่ไปสวิสฯครั้งนี้ครั้งเดียวแน่...ว่าแต่
.
เวลาเพื่อนๆไปเที่ยว แล้วเห็นคนขี่สามล้อหน้าตาคุ้นๆว่าเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน อย่าลืมทักทายและอุดหนุนผมหน่อยนะคร้าบ....อิอิอิ
.[/SIZE]
.[SIZE=130]แล้วเราก็ได้รู้จักประเทศใหม่อีกประเทศหนึ่ง-I came 40 years ago from 'Suriname'
.
อยู่อัมสเตอร์ดัมได้ 5 วัน ก็ได้เวลาที่เราจะเปลี่ยนบรรยากาศมายัง Rotterdam เมืองที่มีคุณลักษณะพิเศษของย่านนี้แล้วล่ะครับ
.
เอ้อ...อ้า...นอกจากเป็นเมืองที่ช่วง กทม.น้ำท่วมแล้ว ผู้ว่าฯของเราไม่อยู่ เพราะมาดูงานป้องกันน้ำท่วม (หลังจากบริหารมากว่า 6 ปี) ที่นี่แล้ว จะมีอะไรพิเศษตรงไหนยังไงหรือ?
.
อ๋อ....คำตอบคือ พิเศษตรงที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ศูนย์กลางของเมืองนี้ถูกถล่มแทบจะราบเรียบเป็นหน้ากลอง จนต้องมีการระดมสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ ด้วยการส่งเสริมให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในงานสถาปัตยกรรมได้อย่างกว้างขวาง....ซึ่งทำให้เป็นเมืองที่มีผลงานสถาปัตยกรรมที่เลื่องชื่อระดับโลก จากฝีมือของสถาปนิกขั้นปรมาจารย์มากมาย กระทั่งชนะการลงคะแนนจาก สถาบัน Academy of Urbanism ให้ได้รับรางวัล European City of the Year ประจำปี 2015 นี้......และด้วยเหตุนี้ ความพิเศษจึงอยู่ที่เราจะมีโอกาสได้พบเห็น ปูชนียสถานโบราณวัตถุ เหมือนเมืองอื่นๆน้อยมาก เพราะทุกอย่างรวมทั้งสาธารณูปโภคต่างๆจะอยู่ในรูปแบบที่แปลกใหม่และโมเดิร์นกว่าที่อื่น ไงละครับ
.
นอกจากนั้น จาก ร็อตเตอร์ดัม เราสามารถไปเที่ยวเมือง Delft และ กรุง Hague ได้ง่ายกว่าสะดวกกว่าไปจากอัมสเตอร์ดัมด้วยครับ
.
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น ที่สร้างความประทับใจให้กับช่วงเวลา 3 วันที่เราอยู่เมืองนี้อย่างล้นปรี่ (จนอดนึกเสียดายไม่ได้ว่า ถ้าได้อยู่ต่ออีกซักวันสองวันน่าจะอิ่มเอมใจมากๆเลย) รวมทั้ง...
.
การได้ใช้รถราง ที่ทุกสายอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม สะดุดตา ทว่า..กระเป๋า... เอ๊ย กระปี๋รถราง ที่ทำหน้าที่จำหน่ายตั๋วบนรถกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็น คุณป้าผิวสี รุ่นโบราณเก๋ากึ๊ก ที่มาจากประเทศที่เราสองไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รู้จักมาก่อนเลย กระทั่งได้พูดคุยด้วย...
.
เพื่อนๆที่เคยชมภาพยนต์ประเภท มีคุณป้าผิวสีเป็นพี่เลี้ยงหรือคนรับใช้ ไม่ว่าจะเป็น ยุค Gone with the wind ...มินิซีรี่ย เรื่อง Roots หรือ The Help เร็วๆนี้ คงจะคิดเหมือนๆกับผมนะครับว่า คุณป้า หุ่น มาม่าบลู เหล่านี้มีบุคลิกพิเศษอยู่อย่าง คือ ดุเล็กๆ แต่ใจดี ชอบคุย และยิ้มหวานมาก (แบบคนมีความสุข) อ่ะครับ.....
.
ซึ่งเวลาได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มาซื้อของไปขาย ที่ประตูน้ำ หรือ กวางเจา และเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะตามสนามบิน ผมจะถือโอกาสพูดคุยด้วยเสมอ ซึ่งก็ได้ความประทับใจและได้ความรู้ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะมาจาก ไนจีเรีย ซิบับเว่ หรือ เอธิโอเปีย (ซึ่งตะลึงมาก เพราะยุคหนึ่งเป็นดินแดนที่ยากจนแห้งแล้งขนาดเด็กทานดินเป็นอาหาร แต่ปัจจุบันเป็นเมืองรุ่งเรืองทันสมัยซึ่งตอนเค้าบอกยังไม่ค่อยอยากเชื่อจนกระทั่งมาเสิร์ชเน็ตค่อยเห็นจริงครับ)
.
คุณป้ากระปี๋รถรางทั้งมวลที่ร็อตเตอร์ดัมนี่ เราพูดคุยอย่างสนิทสนมเสมอ หลักๆก็ถามทางไปโน่นนี่ (และที่สำคัญ คือถามว่าตลาดสด หรือซุปเปอร์ดีๆอยู่ไหน อิอิ) แล้วก็ลามเรื่อยต่อไปถึง เรื่องส่วนตัวว่า มาจากไหน? มานานหรือยัง? ครอบครัวอพยพมาด้วยหรือเปล่า?....ฯลฯ
.
ครั้งแรกที่ได้ยินว่า ทั้งหมดมาจาก "ซูรีนัม" ผมก็ยังนึกว่าน่าจะอยู่แถบอินโดเนเซีย ที่ไหนได้ไปคนละทิศละทางเลย คืออยู่แถวๆบราซิล และ เวเนซูเอล่าต่างหาก จึงได้ความรู้ใหม่ว่า อเมริกาใต้ยังมีประเทศที่น่าสนใจให้ค้นหาไม่น้อยเลยครับ
.
คุณป้าท่านนี้ เราเจอ 2 ครั้ง (ท่านอื่นๆเจอครั้งเดียว อารมณ์ดีน่ารักประมาณกัน) เล่าให้ฟังว่า มาจากซูรีนัม เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีลูก (ป้าคิดตั้งนาน..55) 7 คน และมีหลาน 11 คน ...น่าภูมิใจไม่น้อยนะครับว่า เป็นคุณย่าคุณยายแล้วยังทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง และมีสุขภาพดี ซึ่งเหตุผลหลักๆก็คือ การเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี ทั้งๆที่ตอนมาที่นี่ใหม่ๆชีวิตคงไม่ง่ายอย่างทุกวันนี้ นั่นเองอ่ะครับ
.
อ้อ.... หน้าที่หลักของกระปี๋รถราง โดยปรกติก็ตรวจตั๋วขายตั๋วนะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะยืนอยู่กับที่ที่มุมใดมุมหนึ่งหรือคุยกับคนขับไปพลางๆ ถ้าใครยังไม่มีตั๋ว ต้อง "...you should come to me not calling me to go to you, understand?-คุณต้องเป็นฝ่ายเดินมาหาชั้นนะ ไม่ใช่บอกให้ชั้นเดินไปหาคุณ เข้าใจมั้ย" เล่นเอาผมต้องยิ้มบอกว่า "ขอโทษด้วยครับ พอดีมีสัมภาระเยอะ เลยต้องรบกวนคุณป้าหน่อย" ค่อยยิ้มออกและสนทนาจิปาถะกันไปได้....
.
ใช่ครับ ถ้าไม่มีตั๋ว เราต้องเป็นฝ่ายขอซื้อจากเค้าครับ เพราะเค้าถือไพ่เหนือกว่า....... อย่าได้นึกยัวะ เลยพาลไม่ซื้อซะเลย ด้วยคิดว่าไหนๆก็ไม่เคยเจอคนตรวจตั๋วมาตลอดเชียวนะครับ เพราะเกิดดวงซวยขึ้นมา เจอแจ๊คพ็อตตอนลงรถเมื่อไหร่ เป็นโดน 100 ยูโรอย่างแก้ตัวไม่หลุดทีเดียวครับ หุหุ
.
ชาวซูรีนัมมาอยู่ที่นี่มากมายเลยครับ ถึงขนาดมีร้านอาหารซูรีนัมให้เห็นเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ก็คล้ายอาหารจีนอาหารแขก (แต่เราไม่เคยลอง) ครับ
.[/SIZE]
.[SIZE=130]มิน่า...เห็นจับแล้วจับอีก ตาเป็นมันเชียว..When Elvis Left Marilyn For Good
.
การพัก Hostel รวมกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ปรกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องอย่างที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้หรอกครับ ด้วยตรรกะที่ว่า ทุกคนก็เป็นประเภท มุ่งเที่ยวมุ่งพักผ่อน เป็นหลักเหมือนกัน นั่นเอง
.
ทริปนี้ เราเจอนักท่องเที่ยวที่อยู่ร่วมห้องจากเกาหลีมากเป็นพิเศษครับ ...ตอนอยู่บรัสเซลส์ 4 คืนซึ่งเป็นห้อง 6 คน ก็มีเด็กหนุ่มเกาหลีคนนึงมาอยู่ด้วยในคืนที่สอง ซึ่งพอทักทายกันแล้วเราถามว่า "จะอยู่กี่คืน?" ก็ได้รับฟังการระบายอย่างพรั่งพรูเลยครับว่า..
.
"ผมอยู่ที่นี่ 2 คืนก่อนและเช็คเอ้าท์ไปเมื่อเช้านี้เพื่อเดินทางต่อไปเนเธอร์แลนด์แล้วครับ แต่ปรากฏว่า ตอนอยู่ชานชาลาสถานีรถไฟ ผมเผลอไปหน่อย เลยโดนขโมยเป้ไป...โน๊ตบุ๊ค กล้องถ่ายรูป สมุดบันทึก หายหมดเลย..โชคดีที่กระเป๋าตัง พาสปอร์ต และมือถือ ยังอยู่กับตัว เลยต้องกลับมาพักตั้งตัวอีกคืน เพื่อจัดการเรื่องที่พัก เรื่องอื่นๆใหม่..."
.
ไม่ใช่แค่อิตาลี ฝรั่งเศส...แต่ยุโรปนี่ น่ากลัวนะครับ พวกมิจฉาชีพมีเยอะมากเลย แม้แต่ที่สวีสฯ ตอนรถไฟจะเข้าเมือง Montreux เสียงประกาศบนรถไฟให้ระวังคนล้วงกระเป๋า ก็มีระรัวตั้งแต่ตอนถึง Vevey หลายสถานีก่อนถึงทีเดียว และระหว่างที่อยู่เมืองนั้น (พอดีมีงานเทศกาลออกร้าน Jazz Festival) ก็มีเสียงประกาศเตือนตลอดเวลาเช่นกันครับ
.
ผมก็ปลอบใจไปตามเรื่อง แต่เมื่อเอ่ยว่า "มีอะไรที่เราจะช่วยได้บ้างไหม?" หมอน้ำตาคลอเลย ...สันนิษฐานว่าเพิ่งจะได้รับน้ำเสียงห่วงใยเอ็นดูเป็นครั้งแรก ตอบว่า "No, thank you" เสียงกระเส่าไปมา
.
แล้วเราก็ได้เห็นพฤติกรรมที่ตรงกับสำนวน "ว้วหายล้อมคอก" ด้วยความรู้สึกอดขันด้วยความเอ็นดูไม่ได้ คือ ตอนหมอนี่จะออกจากห้องไปธุระข้างนอก หมอเอากุญแจสายล็อก (แบบที่ใช้ล็อกจักรยาน) มาล่ามกระเป๋ากับเสาในห้องไว้อย่างแน่นหนา... ประมาณ ไม่อยากโดนผีซ้ำด้ามพลอย จนใบใหญ่นี้หายไปอีกเป็นดาบสองอ่ะครับ หุหุ
.
พอวันที่สาม ก็มีเด็กหนุ่มเกาหลีอีก 2 คนมาแจมห้องเราแทนคนที่เช็คเอ้าท์ออกไป ซึ่งก็น่ารัก สุภาพ ตามปรกติ แต่ตอนรุ่งเช้าวันต่อมาที่เช็คเอ้าท์ออกไป (ตอนไหนไม่ทราบ) คุณนายเคทก็พบตอนเย็นหลังกลับจากเที่ยวว่า...เสื้อยืดรูปเอลวิสของคุณท่านที่แขวนไว้ หายจ้อยไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว...เหอเหอ
.
เสื้อยืดแบบนี้ เราซื้อมาจากใบหยก ประตูน้ำมาประมาณ 10 ตัว (ของผม 8 ตัว ของคุณนาย 2 ตัว) เป็นเสื้อยืด Sale เพราะตกรุ่นราคาตัวละ 80 บาท (ราคาเดิมน่าจะเกือบ 200) เนื้อผ้าดี และเราใช้เป็นเสื้อสวมอยู่บ้านและเสื้อนอน เวลาเดินทางก็ติดมาด้วยเนื่องจากเป็นสีดำใส่ได้หลายวันและซักได้ไม่ยาก...
.
คุณนายบอกว่า สังเกตเจ้าตัวเล็กเดินไปจับแล้วจับอีก ตาเป็นมันเลย เพราะว่าไปก็เป็นเสื้อที่ลายเก๋มาก ขนาดเท่าตัวเค้าเลย...ถ้าใส่ที่เกาหลีน่าจะเท่ไม่หยอก ก็เลยฉวยโอกาสจิ๊กไปเป็นที่ระลึกทริปยุโรปอ่ะครับ...
.
เอลวิส เพรสลี่ย (ที่ห้อยแขวนไว้บนราว) จึงต้องลาจาก มาลิรีน มอนโร (ที่อยู่ในกระเป๋า) ไปตราบฟ้าดินสลายด้วยประการฉะนี้แล..... คุณนายบอกว่า.... ปัดโธ่เอ้ย..ไม่น่าต้องขโมยเร้ยยย... เพราะถ้าเพียงแต่เอ่ยปากขอ ก็ยินดีมอบให้อยู่แล้ว ดีไม่ดีจะแถมลาย จิม มอริสัน...บ็อบ มาร์เล่ย์ ของผมให้ไปฝากพ่ออีก 2 ตัวต่างหากด้วย...555
.[/SIZE]
.[SIZE=130]ได้เลยน้อง ไม่ต้องตามง้อ-The Best of Antwerp & Basel
.
แหะ แหะ ปล่าวครับ... คำว่า The Best ณ ที่นี่ ไม่ใด้หมายถึงแหล่งท่องเที่ยวสุดประทับใจ หรือ อาหารจานเด็ดสุดอร่อยลิ้นหรอกครับ.... แต่เป็นของขวัญที่เราได้รับแจก แบบเดียวกับที่เห็นแจกกันเวลาเค้าโปรโมทสินค้าใหม่ทั่วไปนั่นแหละครับ
.
The Best of Antwerp คือวันที่เราไป Antwerp ซึ่งตรงกับช่วง Summer Sale และ Summer Festival พอดี ก็เลยมีรายการเดินแจกแว่นกันแดดเก๋ไก๋ที่สถานีรถไฟเป็นการเฉลิมฉลองอ่ะครับ แต่...
.
น่าแปลกมากครับ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนยอมรับแจกกันเหมือนแถบเอเซียเลยครับ (บ้านเรา ไม่ต้องพูดถึง... ขนาดที่ญี่ปุ่น แจกกาแฟฟรีให้ลองดื่มที่สวนโอโดริ ซัปโปโร ผมยังเห็นต่อแถวยาวเลยทีเดียว) คนแจกต้องเดินตามง้อตลอด...
.
ด้วยความขี้เห็นใจอันเป็นคุณสมบัติประจำตัวเราสองอยู่แล้ว ก็เลยช่วยๆน้องหนู ด้วยการเดินไปรับแจก 3 รอบ ได้มา 6 อันเลย....และบุญกุศลครั้งนี้ ก็ส่งผลให้ตอนเราขึ้นไปบนลานหิมะที่ ยุงเฟรา ที่สว่างจ้าจนคนอื่นๆแสบตากัน แต่เราสองไม่มีปัญหาเลย เพราะได้อาศัยแว่นกันแดดที่ได้รับแจกมานี่แหละครับ...หลังจากนั้นก็ใช้ตลอดเวลาเจอแดดครับ.... 555
.
ส่วน The Best of Basel นี่ เกิดขึ้นวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับครับ คือเค้ามีการโปรโมท เป็บซี่แคน รุ่นใหม่ โดยการแจกให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่ก็เช่นกันครับ..ประหลาดมาก ที่ไม่ค่อยมีใครยอมรับเลย และเราก็ต้องช่วยเหลือด้วยความเมตตามา 6 กระป๋องด้วยกัน
.
เอ้อ..อ้า..ยังไม่ลืมใช่ไหมครับว่า น้ำอัดลมกระป๋องแบบนี้ ที่สวีสฯเค้าขายกัน กระป๋องละ 3.50 ฟรังค์ (126 บาทไทย) อ่ะครับ...... น่าเสียดายที่มาแจกเราตอนเย็นวันสุดท้าย ทำให้เราทานไปแค่ 4 กระป๋องเท่านั้น เหลือ 2 กระป๋อง ต้องนำไปมอบให้คนทำความสะอาดห้องน้ำที่สนามบิน ก่อนเข้า ตม. ซึ่งเค้าแปลกใจมาก ต้องอธิบายว่า ผ่าน ตม.ไม่ได้นั่นแหละ ค่อยยิ้มรับด้วยความอภิเชษฐ์ครับ หุหุ[/SIZE]
Red Light District Amsterdam: ย่านโคมแดงแสลงใจ.
ไม่ว่าใครก็ตาม ลองได้ค้างคืนที่อัมสเตอร์ดัมสักคืนครึ่งคืนละก็ เป็นไม่พลาดที่จะต้องแวะชม ย่านโคมแดง อันเลื่องชื่อไปทั้งโลก นี้ให้ได้....ดังภาพที่เห็นนักท่องเที่ยวทั้งท้องถิ่นและนานาชาติอัดแน่น สองฝั่งคลอง ที่ยามกลางวันก็ยังเงียบสงบไม่มีทีท่าว่าจะคึกคักอะไร
.
ผมจำได้ว่า เมื่อซัก 40 กว่าปีก่อน ที่ตามผู้ใหญ่มาติดต่อการค้าแถบยุโรปย่านนี้ ก็ยังถูกพาไป Window Shopping-คือ ดูแต่ตาเป็นประสบการณ์ มาแล้ว...ครั้งกระโน้น ก็ยังรู้สึกว่า รสนิยมของคนแถบนี้ช่างพิลึกพิลั่นหาความสุนทรีย์ไม่ได้เลย ช่างมีกะจิตกะใจในเพศรสได้แบบหน้ามืดตามัวแท้ๆ....
.
มาคราวนี้ คุณนายปล่อยผีให้มาเดินชมคนเดียว (เพราะอยู่ห่างจาก Hostel ไปไม่ถึงกิโลเมตร) ได้พินิจพิเคราะห์ชัดเข้าไปอีก ได้เห็นรูปลักษณ์ ผิวพรรณ และอุปกรณ์ต่างๆที่วางประกอบบนโต๊ะ ยิ่งเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจว่า ....ยืนชม.. เปิดประตูต่อรองราคา.. แล้วก็เดินเข้าไปในห้องแคบๆที่หลังม่านเป็นเตียงเล็กๆ...ง่ายๆแค่นั้นหรือ ใครหนอช่างระบายความกลัดมันได้ลงคอ.....
.
คำตอบก็คงเป็นทำนอง...ของซื้อของขายราคาไม่แพง ให้ได้ระบายเถอะ อย่าจุกจิกจู้จี้นักเลย ใครๆเค้าก็ไม่เรื่องมากทั้งนั้น....กระมัง ธุรกิจประหนึ่งแผงลอยเนื้อสดเหล่านี้ ถึงอยู่ยั้งยืนยงมาได้ แม้กว่า 7-80% ของผู้คนที่ผ่านมาผ่านไปจะเป็นเพียง นักสอดรู้สอดเห็น (ที่ไม่น่าเชื่อว่า ปัจจุบันเป็นนักท่องเที่ยวหญิงเกือบครึ่งต่อครึ่ง) เท่านั้น
.
ผมไม่แน่ใจว่า เดี๋ยวนี้ แถวริมถนนมิตรภาพ แถบ กลางดง มวกเหล็ก ยามค่ำคืน จะยังมีเรือนแถวที่เปิดแสงนีออนเขียวแดงให้คนเดินทาง (สิบล้อเป็นหลัก) แวะชมซื้อหาความสำราญอย่างเมื่อก่อนหรือเปล่า แต่เมื่อนำภาพจำในยุคอดีตมาเปรียบเทียบกัน ผมว่าบรรยากาศของบ้านเราดูนุ่มนวล มีชีวิตจิตใจ และสุนทรียภาพมากกว่าแยะครับ
.
ใครมาย่านนี้ ไม่ต้องแอบถ่ายภาพมาเป็นที่ระลึกหรืออวดใครหรอกครับ (เห็น นักท่องเที่ยวจีน ยกมือถือขึ้นถ่าย ป้าแกเปิดประตูมาด่ากระเจิง แถมบอกว่า "I will call police" อีกต่างหาก) ไปแวะชมที่บ้านอากู๋
https://goo.gl/nWDPwI หรือ บ้านน้าจุ๊บ
https://goo.gl/CYqScT ดีกว่า นะครับ หุหุ
โคจร ในแหล่งอโคจร-Well, it's red light zone, you see..
ย่านโคมแดง ในยามกลางวัน เงียบสงบต่างจากกลางคืนเป็นหน้ามือหลังมือ แสงสว่างทำให้ได้เห็นคราบไคลที่ถูกความมืดฉาบบังไว้ได้ถนัดตา ผนังอาคารที่เป็นแสงวาววับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานั้น ที่จริงกระด่างดำ ดูสกปรก เพราะแม้จะมีการทำความสะอาดบ้าง ก็เป็นไปแบบขอไปที และที่ไม่น่าเชื่อคือ...
.
ที่ถ่ายปัสสาวะ ไม่ได้มีเป็นห้องเป็นสุขภัณฑ์อย่างที่ควรจะเป็นหรอกนะครับ ง่ายๆอย่างที่เห็นนี่แหละ เดินเข้าไปแล้วก็ปลดปล่อยลงบนพื้นที่จะค่อยๆไหลลงคลองไปยังงั้นแหละ ใครใช้ให้ทนไม่ไหวล่ะ ก็ย่ำไปสิ รองเท้าเปียกแฉะก็เป็นเรื่องของคุณ เทศบาลไม่เกี่ยว 5555.....อย่างเก่งก็...
.
ให้รถเก๋งไฮโซ (ดูยี่ห้อสิครับ อิอิ) เอาน้ำยามาฉีดล้างลงคลองให้ตอนเช้าวันละเที่ยวเท่านั้นแหละ...เหอ เหอ
.
หายสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า ทำไมไปเที่ยว อัมสเตอร์ดัมทั้งที่ เราไม่ยักนั่งเรือล่องคลองชมวิวเหมือนใครเค้ามั่งเลย...5555
ย่านโคมแดง แสลงจิต -Red Light District Brussels.
ย่านโคมแดงอัมสเตอร์ดัมว่าแสลงใจแล้ว มาถึงเบลเยี่ยม แวะเยือนย่านโคมแดงของที่นี่ ยิ่งพาแสลงจิตหรือหดหู่เข้าไปใหญ่ เพราะ....
.
ตลอดบล็อกตึกแถวที่ขนานไปกับสถานีรถไฟ Brussels Nord นั้น เค้าไม่ได้ทำมาค้าขายกันเฉพาะกลางค่ำกลางคืนแดดร่มลมตกหรอกครับ แต่ว่ากัน Round the clock-24 ชั่วโมงเลยทีเดียว หิวเมื่อไหร่ไปเซเว่นฯ เอ๊ย หื่นเมื่อไหร่ไปสถานีรถไฟเหนือได้เลย หรือแม้กระทั่ง ชวนที่บ้านมาช้อปปิ้ง (ถนนหลังอาคารนี้ทั้งสาย เป็นย่านช้อปปิ้งคนตะวันออกกลางที่คึกคักเหมือนพาหุรัตบ้านเรา) แล้วห้ามใจไม่อยู่ จะหาข้ออ้างหลบมาชั่วครู่ก็ยังได้ ว่างั้น..
.
ภาพนี้ ถ่ายจาก ช่องหน้าต่างชานชาลารถไฟ (ที่บังเอิญเหลือเปิดไว้เพียงช่องเดียว) ช่วงเช้าก่อนที่เราจะเดินทางมา สวิตเซอร์แลนด์ ครับ ภาพเต็มๆหากสนใจก็ต้องแวะบ้านอากู๋
https://goo.gl/h5ykgp หรือ น้าจุ๊บ
https://goo.gl/sK6q1s เช่นกันครับ
โอ้ววว....มิบังอาจเจงๆฮ่ะ-No, it's too risky to rent a bike here..
อย่าถามนะครับว่า..เห็นชอบขี่จักรยานเมืองนอกมากนักไม่ใช่หรือ? แล้วไป อัมสเตอร์ดัม เมืองจักรยานทั้งที ไม่ยักกะมีรูปเต๊ะท่าร่อนจักรยายมาโชว์มั่งล่ะ กลัวตายมากละซี่...
.
แหะ แหะ ปล่าวป๊อดหรอกครับ เพราะการขี่จักรยานที่นี่ แทบจะเรียกว่าไม่มีอันตรายเลยซักนิดเดียวก็ว่าได้ เพราะคนขับรถเจอจักรยานเมื่อไหร่ จ๋อยเป็นพลเมืองชั้นสองไปเลยอ่ะครับ แต่..
.
แค่วันแรก ที่ยังไม่ได้คิดว่าจะไปเช่าที่ไหน เดินเตร่ไปมาก็เจอภาพสยองเข้าให้แล้ว...
.
เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น อะไรจะต้องกันขโมยหนักหนาขนาดนี้...
.
แต่ขอให้เชื่อ ร้านให้เช่า และ พนักงานโฮสเต็ล เถิดครับว่า ถ้าไม่ล่ามโซ่ขนาดนี้ มีสิทธิ์ต้องจ่ายเงินชดใช้ร้อยเปอร์เซ็นต์
.
ก็ดูร้านค้าตามตลาดนัดสิครับ อะไรจะขายดีไปกว่า "โซ่ล่ามจักรยาน" เป็นไม่มีอ่ะครับ 555
.
ถ้าไม่เชื่อใคร อย่างน้อยๆก็ขอให้เชื่อข้อเขียนของ Wikitravel ข้างล่างนี้เค้าหน่อยก็แล้วกันนะครับ อิอิอิ
.
Make sure to get a good lock (or two), and to use it. Amsterdam has one of the highest bicycle theft rates in the world. Note also that, if buying a bike, prices that seem too good to be true are stolen bikes. Any bike offered for sale to passers-by, on the street, is certainly stolen. There's an old Amsterdam joke; When calling out to a large group of cyclists passing by; "Hey, that's my bike!" about five people will jump off "their" bikes and start running.
อย่าลืมเอาล็อกดีๆ (หรือล่ามโซ่) มาล็อกทั้งล้อหน้าหลังด้วยล่ะ (ล็อกล้อเดียว อีกล้อก็จะถูกถอดไป 55) เพราะเมืองนี้โจรขโมยจักรยานขึ้นชื่อที่สุด แล้วก็ ถ้าจะซื้อจักรยานเก่า (เพราะถูกกว่าเช่าหลายวัน) ในราคาที่เค้าเสนอขายถูกเหลือเชื่อละก็ ร้อยทั้งร้อยเป็นจักรยานที่ถูกขโมยมาทั้งนั้น...ถึงขนาดเล่าเป็นโจ๊กกันว่า ถ้าลองตะโกนไปยังกลุ่มคนที่ขี่จักรยานดังๆว่า "เฮ่ย นั่นจักรยานกรู" เมื่อไหร่ จะมีคนกระโดดทิ้งจักรยานวิ่งหนีพร้อมๆกัน 4-5 รายเลยทีเดียว....5555
.
http://wikitravel.org/en/Amsterdam.